วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในประเทศออสเตรเลีย

Australia มีมหาวิทยาลัยเกือบ40แห่ง ส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ แต่ที่มีชื่อเสียงมาก มี8แห่ง
รวมตัวกันเรียกว่า group of eight การเรียนการสอนมีคุณภาพระดับโลก(มีอาจารย์ที่ได้รับรางวัลNobelหลายคน)
เป็นที่ยอมรับ ทั้งจากนานาชาติ และในออสเตรเลียเอง งานวิจัยในออสเตรเลีย
กว่า 70% มาจากมหาวิทยาลัยในกลุ่มนี้ 
รายชื่อมหาวิทยาลัยทั้ง8แห่ง ได้แก่(ในวงเล็บเป็นอันดับโลกปี2008)
1.ANU.[Australian national university](16)ตั้งอยู่ที่เมือง Canbera ที่เป็นเมืองหลวง
(เป็นเมืองที่อยู่ระหว่าง Sydney-Melbourne)
2.U of Sydney(37) ตั้งอยู่ที่เมือง Sydney
3.U of New south wale(45) ตั้งอยู่ห่างจาก Sydney ประมาณ40กม.
4.U of Melbourne(27)ตั้งอยู่ชานเมือง Melbourne 
5.Monash U(47)ตั้งอยู่นอกเมือง Melbourne มีหลาย campus
6.U of Queenland (43)ตั้งอยู่ที่เมือง Queenland
7.U of Adelaide(106)ตั้งอยู่ที่เมือง Adelaide
8.U of Western Australia(83) ตั้งอยู่ที่เมือง Perth
การสมัครเข้าเรียนจะยากกว่ามหาวิทยาลัยอื่นๆ แต่ก็มีคนไทยไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยดัวกล่าวพอสมควร
ถ้าสนใจก็ลองดูได้ค่ะ 

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ชายหาดงามๆ

หาดทรายสีดำ.. Volcanic black sand of Punalu
ที่ Hawaii (รู้สึกว่าประเทศไทยก็มีนะครับ ที่จังหวัด ตราด)
 

 

หาดทรายสีเขียว Te green sand of Papakolea 

 
หาดทรายสีขาว ส่วนใหญ่ในโลกจะเป็นสีขาวหมดครับ 
แต่ที่ The sand of Haims, Australia ขึ้นชื่อว่า
เป็นหาดทรายที่ขาวที่สุดในโลก รับรองโดย กินเนสส์บุ๊ค
 

 

หาดทรายสีม่วง Multicolored sand in California 

 

หาดทรายสีแดง Red sand on Maui 

11ความเห็นของฝรั่งที่มีต่อคนไทย

1.ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง
คนไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี
(เจฟฟรีย์ บาร์น) 

2. การโต้แย้ง
เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า “ขี้เกรงใจ” แต่สำหรับฝรั่งแล้ว นิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร 
(ทานากะ โรบิน (จูเนียร์) ฟูจฮาระ)

3.ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด
เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่ไม่แพ้ฝรั่งเลย แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านนายได้รู้ และจะไม่กล้าตั้งคำถาม บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้วเลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร
(ไมเคิล วิดฟิล์ค)

4. ความรับผิดชอบ
- ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักทำไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า ทั้งๆทีงานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนานก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร 
- ไม่ค่อยยอมผูกพันและรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำคนไทยจะกลัวขึ้นมาทันที เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก
(สเตฟานี จอห์นสัน)

5. วิธีแก้ไขปัญหา
คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับเวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า หลายครั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั่งลงมาก่อนแล้วค่อยทำตามถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด 
(ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก)

6.บอกแต่ข่าวดี
คนไทยมีความเคยชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ 
- จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา 
- จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริงหรือถ้าหากเจ้านายถามว่า จะทำงานเสร็จทันเวลาไหม ก็จะบอกว่าทัน (เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่รับปากเลย 
(โจนาธาน ธอมพ์สัน)

7. คำว่า “ไม่เป็นไร”
เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหา ก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วยเพราะเกรงใจกัน แต่จะใช้คำว่า “ไม่เป็นไร” มาแก้ปัญญหาแทน 
(เจนิส อิกนาโรห์)

8. ทักษะในการทำงาน
- ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกันบางคนขยันแต่บางคนไม่ทำอะไรเลย บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกันจนผลงานไม่คืบหน้า 
- ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด 
- พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องราวความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไรนัก แล้ไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม 
(เดวิด กิลเบิร์ก)

9. ความซื่อสัตย์
พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย ขาดงานโดยอ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกในเวลางาน 
(เฮเบิร์ก โอ ลิสส์)

10. ระบบพวกพ้อง
คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ประสบมา การให้ความช่วยเหลือเพื่อนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเลยเป็นอะไรที่แย่มาก และเมื่อพบว่าเพื่อนพนักงานด้วยกันทุจริต คนไทยก็จะช่วยกันปกป้อง และทำให้ไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าผู้บริหารจะตรวจสอบได้เอง 
(มาร์ค โอเนล ฮิวจ์)

11. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว
คนไทยมักจะไม่รู้ว่าอะไรว่าอะไรคือเรื่องงาน และอะไรที่เรียกว่าเรื่องส่วนตัว พวกเขาชอบเอาทั้งสองอย่างนี้มาปนกันจนทำให้ระบบการทำงานเสียไปหมด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งขององค์กร
- ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน 
- มักจะคุยกันเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานมากเกินไป บางครั้งทำให้บานปลายและนำไปสู่ข่าวลือ และการนินทากันภายในสำนักงาน 
- มักจะลาออกจากบริษัทโดยไม่ยอมแจ้งล่วงหน้าตามข้อตกลง แต่กลับคาดหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์เต็มที่ 
- ไม่ยอมรับความผิดชอบที่มีมากขึ้นในช่วงวิกฤติ 
- ต้องการเงินมากขึ้นแต่กลับไม่ค่อยสร้างคุณค่างานอะไรเพิ่มขึ้นเลย 
(วิลเลี่ยม แมคคินสัน)

ในความคิดเห็นของเรา เราว่าจริงจากประสบการณ์ในการทำงานที่ต่างประเทศ ว่าทำงานกับคนไทยและฝรั่งแตกต่างกันอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่ทำงานในร้านอาหารไทยกับเพื่อนร่วมงานคนไทย เจ้านายคนไทย เพื่อนร่วมงานมักจะคอยจ้องเอาเปรียบ กินแรง และนินทา เปนนิจ เรากลับบ้านตรงเวลาเข้าออกงาน เจ้านายหาว่ารีบกลับบ้านมากเกินไป เราแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่เจ้านายเอารัดเอาเปรียบลูกน้อง สุดท้ายโดนเขม่น และไล่ออก แต่พอมาทำงานกับฝรั่ง ไม่ยอมให้เราทำงานถ้ายังไม่ถึงเวลาเข้างาน เมื่อถึงเวลาเลิกงานทุกคนรีบกลับบ้านโดยเร็ว โดยไม่มีใครว่าอะไรหรือคิดอะไร แต่ถ้ามาทำงานสายแม้แต่นาทีละก็โดนหักเงินไม่ก็ ต้องเข้างานเร็วกว่าเดิมตามเวลาที่มาสายในวันพรุ่งนี้ สามารถพูดคุยกับเจ้านายได้ อย่างไม่ต้องรู้สึกว่าเค้าเปนเจ้านาย ก็เหมือนเสมอภาคกัน

ตอนนี้เรากำลังจะกลับเมืองไทย แต่รู้สึกครึ่งๆกลางๆ ทั้งอยากและไม่อยาก อยากเพราะอาหาร อาหารไทยเราคิดถึงมากที่สุด ทรมานสุดๆเวลาอยู่เมืองนอกแล้วนึกอยากอะไรแต่ไม่มีให้กิน อยากเพราะอากาศ เวลาที่มันหนาวแล้วรู้สึกทำอะไรไม่ได้ มันคิดถึงอากาศที่ไทยมากที่สุด อยากเพราะความสะดวกบายหลายๆอย่างในไทยในการเดินทางมีรถขับไม่ต้องเดิน เพราะเมืองนอกต้องเดินเยอะมาก

และไม่อยากเพราะนิสัยคนไทย เป็นอะไรที่เข้ากับเราไม่ได้เลย เป็นอะไรที่ก่อนเราจะมาอยู่อังกฤษ เราหนีมันมา ปัญหาเดียวของเราตลอดชีวิตก็คือเราเข้ากับคนไทย กับคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยไม่ได้ จะขอเล่านิดนึง อ่านต่อไปอีกหน่อยนะ สมัยมัธยมหรือตอนเด็กๆ เวลาทำงาน เช่น กีฬาสี งานกลุ่มอะไร มักจบท้ายด้วยการทะเลาะกัน เพราะเพื่อนมีความคิดเดิมๆ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงและเด็ก ไม่มีความคิดนอกกรอบ หรืออาย ไม่กล้าทำอะไรให้สุดๆ มักเปนที่หมั่นไส้เวลาที่เรากล้าแสดงออก แสดงความคิดเห็น ยกมือขึ้นเพื่อ ขัดแย้งหรือออกความห็นกับครู หาว่ากระแดะมั่ง เวลาพรีเซนอะไร ที่ม่ใช่แค่พูดเหมือนอ่าน
เวลาออกสำเนียงเวลาเรียนภาษอังกฤษ ซึ่งตอนนี้มันเปนสิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าเราไม่ได้ผิดแต่ถูกต้องที่สุด เพราะมาอยู่เมืองนอกแล้วสิ่งนี้และที่ทำให้เราพูดแล้วฝรั่งรู้เรื่อง แล้วเห็นว่าเราพูดได้ดีกว่า อังกฤษสำเนียงไทย อย่าหาว่าเราหัวฝรั่งมากเกินไปเลยนะ เพราะเราก็รู้ว่าคนไทยนั้นก็มีข้อดี เปนอะไรที่ติดตัวเรามาโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยเหมือนกัน เช่น ความอ่อนน้อม มันทำให้เราsweetในสายตาฝรั่ง เปนเสน่หืที่ฝรั่งชอบมากที่สุดเพราะเค้าไม่มี เราอยากให้เด็กไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงความคิดกันมั่ง อะไรที่มันเปนความจริงก็อย่าปฎิเสธ อะไรที่ควรอายก็น่าจะอาย เราขอฝากตบท้ายไว้2ปรเด็น ก่อนแล้วกัน เพื่อใครจะเห็นด้วยแล้วค่อยๆเปลี่ยนมั่งก็ได้

เรื่อง sex การเปิดเผยในเรื่องนี้เปนสิ่งน่ารังเกียจ โดยเฉพาะผู้หญิงไทย พ่อแม่ของเราไม่เข้าใจกันเลยว่า มันเปนธรรมชาติ เมื่อเปนวัยรุ่นย่อมจะมีความรู้สึกไปตามฮอร์โมน ไม่สามารถขัดได้ จึงต้องมีความรัก มีแฟน อยากอยู่ใกล้ เพราะมนุษย์ก็มีสัญชาตญาฯแบบสัตว์ที่จะสืบพันธ์ แต่ประเด็นทั้งหมดมันไม่ได้สำคัญที่จะมีsexก่อนวัยอันควร หรือมีsexมากกับหลายคนหรือไม่ แต่มีนอยู่ที่การป้องกัน ไม่ให้ท้องหรือติดโรคต่างหาก ในด้านความรูสึกถ้ามีsexกับแฟนตั้งแต่ยังเด็ก ก็จะเปนเด็กไม่ดี เด็กแรด มันไม่ใช่นะเราว่า 
หลายครั้งที่เพื่อนของเรามาปรึกษาว่าแฟนทิ้ง แต่มีอะไรกับเค้าแล้ว เหมือนเสียหาย สูญสิ้นศักดิ์ศรี เราว่าต้องแยกให้ออกระหว่างความรักกับSEXอย่าเอาไปผูกกันไว้ รักอีกอย่าง sexคืออีกอย่างที่ทำให้ทั้งคู่ก็มีความสุข เหมือนกิจกรรมอย่างนึง ถ้ามีอะไรกับคนที่เรารักก็ยิ่งดีใหญ่ ถ้ามีอะไรกับใครที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเท่าใดนักมันก้แค่sex ผู้หญิงไม่เสียอะไรเลยสักนิดเหมือนผู้ชาย ถ้าไม่ได้ท้องหรือติดโรค คิดจะมีแค่ต้องฉลาดป้องกนห้ามพลาดเด็ดขาด แค่นั้น กลัวท้อง กลัวป้องกันไม่ได้ ก็อย่ามี

เรื่องหน้าตา เราว่าปัญหานี้ทำให้วัยรุ่นไทยส่วนใหญ่เครียดอยู่ลึกๆแน่ๆเลย เพราะเราก้ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมคนไทยถึงให้ความสำคัญกับหน้าตาเปนประเด็นได้ ฝรั่งไม่มีใครสนใจใคร มีนะมองรู้เห็นว่าคนนี้สวย คนนี้หล่อ แต่สุดท้ายแค่นั่น ไม้ได้เปนเรื่องใหญ่สำคัญอะไร หรือทำให้น่าสนใจมากกว่า อยู่นี้จะสูงต่ำดำขาว ไม่มีใครสน เท่าเทียม ถ้าคุณมีความสามารถ พูดจาฉะฉาน พูดอะไรออกจากปากก็รู้ได้ว่าฉลาดหรือโง่ สมัยมัธยมตอนเราหาเสียงเปนประธานสี มีเด้กคนนึงพูดว่า "โห คนนี้หรอเปนประธาน ถ้าเปนอีกคน(เพื่อนเราที่หน้าตาดีกว่า)จะเลือก" มันทำให้เราอึ้งโถ เด็กไทยหนอ เวลาเพื่อนเราบอกคนนี้สวยชอบ ปลื้ม 
คนนี้ขี้เหร่ หัวเราะ ล้อเค้า เรารู้สึกแย่มากๆ ทุกคนตอนนี้ ถึงอยากจะสวย อยากจะหล่อ เพราะดูเหมือนถ้าเปนคนสวย เปนคนหล่อในไทย จะได้ทุกอย่าง ความรัก ความสนใจ ได้เปน ได้ทำอะไรที่โดดเด่น ถึงต้องทำขาว ทำหมวย ทำแบ๊ว ความจริงแล้วไม่แน่อาจจะมีความขี้เกียจทำอยู่ลึกๆ เสียเงินทอง รู้สึกต้องเพอร์เฟคเวลาออกจากบ้าน แต่ก็ต้องทำ ถ้าคนไทยเปลี่ยค่านิยมอันนี้ลงได้ จะดีมาก จะมีอาชีพที่เปนประโยชน์กันสังคม มากกว่าดารา จะไม่เสียเวลาไปกับการดูข่าว อ่านข่าวดารา ทุกคนคงจะมองเรื่องนี้เปนเรื่องรอง แล้วตั้งตาตั้งตาแข่งกัน เปนคนเก่ง แสดงออกว่าตัวเองฉลาดแค่ไหน มีความคิดดีแค่ไหนมากกว่ากัน เหมือนเด็กฝรั่งนะ

จบแล้วจ้า เหนื่อยเลย 

ขอบคุนทุกความเห็นล่วงหน้านะ

ตะลึงงง

หมอตะลึง-เจอเท้าในสมองเด็ก! 



แซม เอสควิเบล วัย 3 เดือน ได้รับฉายา "เจ้าหนูมหัศจรรย์" หลังจากเข้ารับการผ่าตัดสมอง เพราะคุณหมอเห็นว่ามีเนื้องอกขนาดใหญ่อยู่

ขณะที่ทิฟนี่ เอสควิเบล ซึ่งกำลังท้องแก่ ได้ให้คุณหมอที่โรงพยาบาลโคโลราโดสปริงส์เมมโมเรียลเซ็นทรัล สหรัฐอเมริกา อัลตราซาวด์ดูว่าทารกเป็นอย่างไร คุณหมอก็เห็นก้อนเนื้ออยู่ในสมอง จึงแนะนำกับนางทิฟนี่ว่าควรผ่าท้องคลอดทารกออกโดยด่วน 

เมื่อทารกคลอดแล้วทีมแพทย์และพยาบาลได้ผ่าตัดสมองให้กับแซมทันที โดยบอกกับผู้ที่เป็นพ่อและแม่ว่า "ลูกของคุณมีโอกาสรอดแค่ 50-50" 


นายแพทย์พอล แกร็บบ์ หัวหน้าศัลยแพทย์ กล่าวว่า "ขณะผ่าตัดผมถึงขนาดหยุดชะงัก เมื่อเห็นเท้าเด็กแทนเนื้องอก ตั้งแต่เป็นหมอผ่าตัดสมองมานาน ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน"

ด้านนางทิฟนี่ที่รอฟังข่าวการผ่าตัดอยู่นอกห้อง ประหลาดใจเช่นกันเมื่อคุณหมอบอกว่า สิ่งที่พบอยู่ในสมองของแซมไม่ใช่เนื้องอก แต่เป็นเท้า นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนที่กำลังพัฒนาไปเป็นสะโพกและมือด้วย โชคดีที่อวัยวะเหล่านี้ไม่ได้เป็นเนื้อร้าย

หลังการผ่าตัด คุณหมอสแกนสมองของ "เจ้าหนูมหัศจรรย์" อีกหลายครั้ง และไม่พบว่ามีการพัฒนาของอวัยวะอื่นในสมอง ส่วนแผลผ่าตัดก็เหลือให้เห็นบางๆ ที่ขมับด้านขวาเท่านั้น 

สำหรับอวัยวะในสมองของแซมอาจเป็น "ทีราโทมา" หรือไม่ก็ "ฟีทัสอินเฟทู" ซึ่ง "ทีราโทมา" คือก้อนเนื้อที่ประกอบด้วยอวัยวะที่ยังไม่พัฒนา อาจเป็นผม ฟัน ส่วน "ฟีทัสอินเฟทู" เกิดเมื่อตัวอ่อนที่เป็นปรสิตนั้นมีการเจริญเติบโตในมดลูก แต่ไม่แยกตัวออกมาจากคู่เอ็มบริโอ แต่เอ็มบริโอปรสิตกลับหยุดการเจริญเติบโต 

แพทย์หญิงแนนซี่ ชไนเดอร์แมน บ.ก.แพทย์จากข่าวเอ็นบีซี กล่าวว่า "ฉันเคยเห็นทีราโทมาเพียงไม่กี่ครั้ง คือเคยเห็นที่คอ หน้าอกและช่องท้อง ไม่เคยเห็นในสมองมาก่อน ส่วนฟีทัสอินเฟทูหรือฝาแฝดปรสิตพบในโลกไม่ถึง 100 เคส คาดว่าในกรณีของแซมน่าจะเป็นทีราโทมา"

ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ห้องคลอดKITTY

คลิ๊กที่ภาพหากอยากดูรูปเด็ดๆ
อยากดูรูปเด็ดๆคลิ๊กที่รูป ซิค่ะ

ห้องคลอด โรงพยาบาลคิตตี้ น่ารักสุดๆ

คลิ๊กที่ภาพหากอยากดูอะไรเด็ดๆ


คลิ๊กที่ภาพหากอยากดูอะไรเด็ดๆ


คลิ๊กที่ภาพหากอยากดูอะไรเด็ดๆ


คลิ๊กที่ภาพหากอยากดูอะไรเด็ดๆ


คลิ๊กที่ภาพหากอยากดูอะไรเด็ดๆ